ประวัติของพิซซ่า

ประวัติของพิซซ่า เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 79 เมื่อภูเขาไฟวิสุเวียสระเบิดขึ้นและทลายเมืองปอมเปอีทั้งเมือง หลังจากนั้นประมาณ ค.ศ. 640 แกตาโน ฟิโอเรลลี่ ได้ค้นพบเตาฟืนโบราณจำนวนมากมายในซากปรักหักพังของเมือง ที่ถูกลาวาถล่ม หนึ่งในจำนวนเตาทั้งหมดนั้นพบว่ามีเถ้าถ่านขนมปังติดอยู่ในเตาอยู่ถึง 7 กิโลกรัม

ประวัติของพิซซ่า ซึ่งเป็นหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่าทหารโรมันในช่วงเวลาดังกล่าว (ก่อนเมืองปอมเปอีจะถูกถล่มด้วยลาวาและเถ้าภูเขาไฟ) ต่างกินขนมปังที่อบด้วยเตาฟืนโบราณนี้ ซึ่งสันนิษฐาน ได้ว่าชาวเมือง ในเมืองนาโปลีก็ทานขนมปังที่อบในเตาฟืนโบราณเช่นนี้มาประมาณ 700 ปีแล้ว ต่อมาในต้น ค.ศ. 1700 ชาวเมืองนาโปลีจึงได้เริ่มประยุกต์ใส่มะเขือเทศกับสมุนไพรบางอย่างลงในขนม ปังแล้วนำไปอบในเตาฟืนโบราณ นี่เองคือจุดเริ่มต้นของมารีนาราพิซซ่า

และร้านพิซเซอเรียร้านแรกในนาโปลี ได้เปิดขายในปี ค.ศ. 1830 โดยร้านดังกล่าวใช้วิธีการอบพิซซ่าในเตาที่ทำจากหินภูเขาไฟ อีกประมาณร้อยปีต่อมา (นับจาก ค.ศ. 1700) และชีสเริ่มเข้ามามีอิทธิพลในอาหาร แต่ชีสดังกล่าวไม่ใช่ชีสปกติธรรมดาทั่วไป เป็นชีสที่ทำจากน้ำนมควายพื้นเมืองที่ชื่อ ฟิออเร่ ดี บัฟฟาล่า ประมาณปี ค.ศ. 1850 จึงเกิดพิซซ่ามาเกอริต้าขึ้นโดย

ราฟาเอล เอสโปสิโต แห่งเมืองเนเปิล ซึ่งได้ทำพิซซ่าถวายเมื่อคราวที่สมเด็จพระราชาธิบดีอุมแบร์โตที่ 1 และสมเด็จพระราชินีมาเกอริต้าได้เสด็จเยือนเมืองเนเปิล โดยใช้สีบนหน้าพิซซ่าแทนสัญลักษณ์ของธงชาติอิตาลี โดยใช้ใบเบซิลแทนสีเขียวใช้มอสซาเรลล่าชีสแทนสีขาวและมะเขือเทศแทนสีแดง และตั้งชื่อพิซซ่าเพื่อเป็นเกียรติแด่พระราชินีว่า มาเกอริต้า

ซึ่งพระนางก็ได้ทรงพระอนุญาตให้ใช้ชื่อพระนางเป็นชื่อของพิซซ่าเมื่อปี ค.ศ. 1889 ซึ่งพิซซ่าดังกล่าวได้กลายเป็นมาตรฐาน ของพิซซ่าในปัจจุบัน ซึ่งพิซซ่าในปัจุบันโดยทั่วไปต่างก็ดัดแปลงหน้ามาจากพิซซ่า 2 ชนิดนี้ ซึ่งเป็นพิซซ่าดั้งเดิมของชาวนาโปลี คือมารีนาราพิซซ่าและมาเกอริต้าพิซซ่า

อ่านบทความเพื่อเช็ค อาหารกับโรคมะเร็ง

สล็อต wallet 168

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * 

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * ** * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

โพสท์ใน Default | ใส่ความเห็น

ออกกำลังกายดีต่อร่างกายอย่างไร

ออกกำลังกาย การป้องกันเสริมสร้างสุขภาพ เป็นวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับการดูแลสุขภาพ เพราะได้ผล และประหยัดที่สุด สุขภาพที่ดี คือ ดีทั้งทางกาย และใจ  ขณะนี้สาเหตุการตายของประชาชนในประเทศที่พัฒนาแล้ว ได้เปลี่ยนจากโรคติดเชื้อ เป็นโรคที่ไม่ติดเชื้อ

ออกกำลังกาย และจากพฤติกรรมของมนุษย์ เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา ยาเสพย์ติด เพศสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสม ฯลฯ คนเราทุกคนจะต้องแก่ เจ็บ และตายทุกคน แต่ในปัจจุบันนี้เราสามารถป้องกันโรคได้หลายโรค ฉะนั้น จึงควรแก่อย่างมีคุณภาพ และไม่ควรเสียชีวิตจากโรคที่ป้องกันได้

โรค และสาเหตุต่าง ๆ ที่ทำให้คนไทยเสียชีวิต       

1. ปัจจุบันนี้ โรคที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตมากที่สุด 3 อันดับแรกต่อประชากร 100,000 คน คือ โรคหัวใจ และหลอดเลือด  อุบัติเหตุ และสารเป็นพิษ โรคมะเร็ง       

2. โรคที่พบได้บ่อยที่สุดในผู้สูงอายุ คือ โรคอัมพาต โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน โรคสมองเสื่อม การหกล้ม และกระดูกหัก ฯลฯ       

3. ในสุขภาพสตรีโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังหมดประจำเดือน ภาวะกระดูกพรุน (osteoporosis) และกระดูกหัก       

4. ประชาชนประมาณ 40% จะมีอาการปวดหลัง       

5. การที่ประชาชนมีสุขภาพดีทั่วหน้า ประเทศชาติสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายทางด้านสาธารณสุข ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาทางด้านอื่น โรคหรือสาเหตุของการตายต่าง ๆ เหล่านี้ สามารถป้องกัน หรือลดลงได้ไม่มากก็น้อย ด้วยการออกกำลังกาย คุมอาหาร และพฤติกรรมที่เหมาะสม

การออกกำลังกายมีประโยชน์อย่างไรบ้าง 1. ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน สมรรถภาพการทำงานของหัวใจจะดีขึ้นมาก ถ้าออกกำลังกายอย่างถูกต้องอย่างสม่ำเสมอ 3 เดือน ชีพจร หรือหัวใจจะเต้นช้าลง ซึ่งจะเป็นการประหยัดการทำงานของหัวใจ

2. ลดไขมันในเลือด ซึ่งถ้าสูงจะเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน

3. เพิ่ม HDL-C ในเลือด ซึ่งถ้ายิ่งสูงจะยิ่งดี จะช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน

4. ลดความอ้วน (ไขมัน) เพิ่มกล้ามเนื้อ (ทำให้น้ำหนักอาจไม่ลด)

5. ป้องกันและรักษาโรคเบาหวาน

6. ช่วยลดความดันโลหิตถ้าสูง ลดได้ประมาณ 10-15 ม.ม. ปรอท

7. ช่วยทำให้หัวใจ ปอด ระบบหมุนเวียนของโลหิต กล้ามเนื้อ เอ็น เอ็นข้อต่อ กระดูก ผิวหนังแข็งแรงยิ่งขึ้น ช่วยลดความเครียด ทำให้นอนหลับดียิ่งขึ้น ความจำดี เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ช่วยทำให้มีความเชื่อมั่นในตนเองยิ่งขึ้น

8. ป้องกันโรคกระดูกเปราะ โดยเฉพาะสุภาพสตรีที่ประจำเดือนหมด

9. ช่วยทำให้ร่างกายนำไขมันมาเป็นพลังงานได้ดีกว่าเดิม ซึ่งเป็นการประหยัดการใช้แป้ง (glycogen) ซึ่งมีอยู่น้อย และเป็นการป้องกันโรคหัวใจ

10. ช่วยป้องกันโรคมะเร็งบางชนิด เช่น ลำไส้ใหญ่ เต้านม ต่อมลูกหมาก

11. ทำให้เกิดสุขภาพดีถ้วนหน้า ประหยัดค่าใช้จ่ายสำหรับการรักษาโรค ลดเวลาที่จะหยุดงานจากการเจ็บป่วย ทำให้ประชาชนมั่งคั่ง ประเทศชาติมั่นคง

12. ถ้าประชาชนทั่วประเทศออกกำลังกายจะเป็นพื้นฐานของการนำไปสู่ความเป็นเลิศทางด้านกีฬา

อ่านบทความเพื่อเช็ค อาหารกับโรคมะเร็ง

อยากมีอิสระทางการเงินเชิญทางนี้

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * 

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * ** * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

โพสท์ใน Default | ใส่ความเห็น

นอนน้อยมีผลเสียอย่างไร

นอนน้อย เราถูกสอนกันมานานแล้วว่าคนเราต้องนอนอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมงเพื่อให้ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ แต่ข้อมูลปัจจุบันพบว่าคนส่วนใหญ่อาจไม่ต้องนอนให้ถึง 8 ชั่วโมงก็ได้ แต่ต้องเป็นการนอนหลับที่มีคุณภาพเพียงพอ

นอนน้อย มีผลต่อร่างกายอย่างแน่นอน ถ้านอนน้อยไปเพียง 1 วันอาจไม่เห็นผลกระทบที่รุนแรงนัก อย่างมากก็แค่ง่วงซึมบ้างในช่วงกลางวัน แต่พอตกกลางคืนเมื่อได้นอนอย่างเต็มอิ่มอีกครั้ง ร่างกายจะฟื้นตัวกลับมาสดชื่นได้อีกในวันรุ่งขึ้น แต่ถ้ายังคงอดนอนต่อไปเรื่อย ๆ ก็จะยิ่งเห็นผลกระทบชัดเจนขึ้น

ผลกระทบการอดนอนต่อร่างกายและอารมณ์ ร่างกายอ่อนเพลีย เพราะไม่มีการสำรองพลังงานมาใช้ในวันรุ่งขึ้น  มีผู้กล่าวว่าถ้าร่างกายมีพลังงานอยู่เท่ากับ 100% จะหมุนเวียนพลังงานใช้จริงอยู่เพียง 70% ที่เหลืออีก 30% จะเป็นพลังงานสำรองของชีวิตเอาไว้ใช้ในยามป่วยไข้ไม่สบายหรือใช้ในภาวะฉุกเฉินต่าง ๆ รวมถึงภาวะอดนอนนี้ด้วย จึงพบว่าถ้าอดนอนสั้น ๆ จะไม่เป็นอะไรมาก  

แต่ถ้านานไปพลังงานที่เหลือ 30% นี้ก็จะร่อยหรอลงและเมื่อนั้นก็จะมีอาการไม่สบายชัดเจนขึ้น เกิดโรคอ้วนตามมาได้  เนื่องจากเกิดความผิดปกติของกระบวนการเผาผลาญน้ำตาลในเลือด ทำให้น้ำตาลในเลือดมีไม่เพียงพอ ส่งผลให้ต้องรับประทานมากยิ่งขึ้น อาการจะคล้ายกับผู้ป่วยโรคเบาหวานแบบที่ 2 (Diabetes type 2) การที่เราตื่นอยู่นานแบบอดนอน ทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานมากขึ้น

จึงรู้สึกอยากรับประทานอาหารมากยิ่งขึ้นไปอีก จากหลักฐานการศึกษาพบว่า ความอ้วนที่เกิดจากการอดนอนพบได้บ่อยขึ้นในคนอายุน้อย หรือในวัยกลางคนมากกว่ากลุ่มผู้สูงอายุ ปัจจัยเสริมอย่างอื่น เช่น การดูทีวีรอบดึกก็มีผลให้อยากรับประทานอาหารเพิ่มอีก 1 มื้อ หรืออยากรับประทานขนมขบเคี้ยวมากขึ้นก็จะยิ่งเป็นตัวเสริมให้อ้วนขึ้นไปเรื่อย ๆ ร่างกายไม่เจริญเติบโต

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเด็ก เนื่องจากฮอร์โมนเกี่ยวกับการเจริญเติบโตถูกสร้างน้อยลง รวมไปถึงระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายถูกรบกวน ทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย หรือรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตจากการอดนอนเลยก็เกิดขึ้นได้

อ่านบทความเพื่อเช็ค อาหารกับโรคมะเร็ง

อยากมีอิสระทางการเงินเชิญทางนี้

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * 

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * ** * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

โพสท์ใน Default | ใส่ความเห็น

ประโยชน์ของใบชา

ประโยชน์ของใบชา ไม่น่าเชื่อว่าประวัติการดื่มน้ำชามีมานานกว่า 4,700 ปี นอกเหนือจากการเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยดับกระหาย แก้ง่วง ยังพบว่าสามารถแก้สารพัดโรคได้อีก ไม่ว่าจะเป็นการต้านอนุมูลอิสสระที่เกิดขึ้นภายในเซลของร่างกาย ยังช่วยต้านอาการอักเสบ ป้องกันตับจากสารพิษ

ประโยชน์ของใบชา ต้านเชื้อจุลินทรีย์ในลำไส้ ฯลฯ  ซึ่งการที่เครื่องดื่มชาให้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายก็ว่ามีองค์ประกอบของสารสำคัญในใบชาอย่างแทนนิน หรือ ทีโพลีฟีนอล ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่ามีฤทธิ์ต้านโรคภัยได้หากดื่มเป็นประจำ แต่สารสำคัญจากใบชามักจะสลายตัวได้อย่างรวดเร็วเมื่อสัมผัสกับออกซิเจนในอากาศและความร้อน

สารสำคัญที่เป็นประโยชน์คือ Catechins (คาเทคชินส์)  จะถูกความร้อนของน้ำทำลายไปเกือบหมดทำให้เหลือแต่ความหอมและรสชาติ ถ้าต้องการให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ และยังนิยมดื่มชาร้อน ๆ ควรดื่มน้ำชาที่เข้มข้น ซึ่งจะทำให้มีปริมาณสารคาเทคชินส์ที่เข้มข้น แม้สารเหล่านี้จะสลายตัวไปบางส่วนเมื่อโดนความร้อนจากน้ำร้อนก็จริง แต่จะยังคงมีบางส่วนที่หลงเหลืออยู่และพอจะให้ประโยชน์ต่อสุขภาพได้บ้าง

หากนำมาเตรียมเป็นเครื่องดื่มแช่เย็น ในความเย็นจะช่วยรักษาคุณค่าของสารสำคัญในใบชาไว้ได้ดี แต่หากผ่านกระบวน การผลิต ซึ่งเครื่องดื่มชาเขียวจะต้องผ่านขบวนการทำให้ร้อนในขบวนการฆ่าเชื้อจุลลินทรีย์ ก่อนบรรจุลงในขวด ปริมาณสาระสำคัญในน้ำชาเขียวก็จะถูกทำลายหรือลดน้อยลงไปเช่นกัน

การดื่มน้ำชาไม่ว่าจะชาร้อนหรือชาที่แช่เย็น ไม่ควรแต่งรสด้วยนมไม่ว่าจะน้ำนมสด นมข้นหรือนมผง เพราะโปรตีนที่อยู่ในนมจะไปจับกับสารสำคัญในชา ส่งผลทำให้เกิดการทำลายประสิทธิภาพสารออกฤทธิ์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งวิธีการดื่มชาให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ ควรเลือกดื่มน้ำชาล้วนๆไม่ควรปรุงแต่ง เพราะผู้ที่ชื่นชอบชาเย็นใส่นมจะไม่ได้ประโยชน์ จากใบชาแน่นอน

อ่านบทความเพื่อเช็ค อาหารกับโรคมะเร็ง

อยากมีอิสระทางการเงินเชิญทางนี้

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * 

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * ** * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

โพสท์ใน Default | ใส่ความเห็น

น้ำตาลควรบริโภควันละปริมาณเท่าไหร่

น้ำตาล ถือเป็นเครื่องปรุงพื้นฐานที่มีอยู่ในอาหารเกือบจะทุกชนิด โดยเฉพาะเครื่องดื่ม เมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราก็ควรจะทราบว่าจะทานเท่าไหรจึงจะเหมาะสม ขึ้นชื่อว่าของหวานใครๆก็ชอบโดยเฉพาะที่บ้านเราเป็นเมืองร้อน การได้ทานอะไรหวานๆเย็นๆก็ทำให้ ชื่นใจและสดชื่นได้ แต่ของแถมที่มากับ “ความหวาน” อย่าง “ความอ้วน” 

น้ำตาล ต้นตอของสารพัดโรคร้าย เช่น “เบาหวาน”, “โรคหัวใจและหลอดเลือด” ฯลฯ ถึงจะทราบดีว่า “ความหวาน” มีภัยแฝงมากมาย แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่ตระหนักถึงความน่ากลัวของมันเท่าไรนัก ขนมหวาน ๆ จึงยังขายดีเป็นเทน้ำเทท่ามาทุกยุคทุกสมัย เทรนการทานของหวานเครื่องดื่มหวานๆก็ผุดยี่ห้อใหม่ๆขึ้นมามากมาย ดังนั้นเราควรตระหนักได้แล้วว่า

เราเองควรจะต้องทราบว่าความหวานเท่าไหร่จึงจะเหมาะสมกับไวและเพศของเรา  จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก แนะนำให้คนรับประทานน้ำตาลแค่วันละ 6 ช้อนชา (หรือประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ) เท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงโรคเบาหวาน ที่ถูกยกระดับให้เป็นโรคอันตรายเทียบเท่า “โรคเอดส์”

 แต่น่าตกใจเหลือเกินที่จากการสำรวจของกรมอนามัย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กลับพบว่า คนไทยบริโภคน้ำตาลมากถึงวันละ 20 ช้อนชา เกินกว่าปริมาณแนะนำถึง 3 เท่า โดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่ชอบดื่มน้ำอัดลมวันละหลายขวด หลายกระป๋อง

เราจึงได้เห็นเด็กไทยจำนวนมากในยุคนี้มีภาวะน้ำหนักเกินตามมา จนสถิติ อ้วนลงพุงของเด็กไทยพุ่งสูงขึ้นที่สุดในโลก และในรอบ 5 ปีที่ผ่านมานี้ พบเด็กไทยอายุต่ำกว่า 15 ปี ป่วยเป็นโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่า ขณะเดียวกันยังพบว่า มีคนไทยถึง 17 ล้านคน ดื่มน้ำอัดลมทุกวัน ไม่แปลกเลยที่สถิติผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคอ้วน จะพุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย

อ่านบทความเพื่อเช็ค อาหารกับโรคมะเร็ง

อยากมีอิสระทางการเงินเชิญทางนี้

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * 

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * ** * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

โพสท์ใน Default | ใส่ความเห็น

อาหาร5หมู่ทำไมต้องทานให้ครบ

อาหาร5หมู่ เหมือนที่เราเรียนมาตอนเด็กๆ เราถูกปลูกฝังกันมาเรื่องอาหาร 5 หมู่ ต้องกินให้ครบ มีอะไรบ้าง เพราะอาหาร 5 หมู่ โปรตีน วิตามิน เกลือแร่ คาร์โบไฮเดรต ไขมัน เพราะสารอาหารเหล่านี้ เป็นเหมือนวัตถุดิบที่ร่างกายจะเอาไปใช้ในการก่อสร้าง ซ่อมแซม เซลต่างๆในตัวเรา

อาหาร5หมู่ ทำให้เรามีสุขภาพแข็งแรง  เช่นเดียวกับการสร้างบ้าน ก็ต้องใช้อิฐหิน ปูน ทรายในการก่อสร้างเพื่อให้เป็นบ้านที่สวย และแข็งแรง ใช้ได้นานๆ การกินอาหารไม่ครบ ในสัดส่วนที่ไม่เพียงพอ หรือการกินอาหารที่คุณภาพไม่ดี ล้วนเหมือนการสร้างบ้านโดยตัดวัตถุดิบส่วนใดส่วนหนึ่งออก ทำให้บ้านที่สร้างออกมา ไม่แข็งแรง ไม่คงทนถาวร

เพราะเมื่อเรากินอาหารครบ ในปริมาณที่เพียงพอ และในคุณภาพที่ดี ร่างกายใช้สารอาหารเป็นวัตถุดิบในการสร้างร่างกายที่แข็งแรง คือ คนที่กินอิ่มนอนหลับ ถ่ายคล่อง ผิวดี  การเผาผลาญดี (ถ้าเราไม่เริ่มดูแล โดยธรรมชาติ ยิ่งอายุมากขึ้น การเผาผลาญจะยิ่งแย่ขึ้นโดยอัตโนมัติ)

จะเห็นได้จากคนแก่ๆ เช่น พ่อแม่พวกเรา กลับไปดูรูปเมื่อก่อน จะผอมเพรียว แต่พอแก่ตัวลง บางทีไม่ได้กินเยอะ แต่น้ำหนักลงยาก

แม้จะไปออกกำลังกายก็ตาม นั่นเพราะการเผาผลาญที่แย่ลงทุกๆปีที่เราอายุมากขึ้น อันเป็นผลมาจากร่างกายที่เสื่อมสภาพ เหมือนรถยนต์ที่ถูกใช้นานๆ เราจึงต้องเสริมตัวช่วยเข้ามาแก้ปัญหาตรงนี้ เพราะสารอาหารที่เพียงพออาจเลือกกินจากอาหารหลักก็ได้ แต่จะติดปัญหาตรงที่ไม่มีเวลาเตรียม

ทำได้ไม่ต่อเนื่อง เรื่องรสชาติ คุณภาพของอาหาร และปริมาณสารอาหารกับแคลลอรี่ที่สวนทางกัน เช่น อยากได้โปรตีน 60 กรัมต่อวัน ต้องกินอกไก่ถึงสามชิ้น ซึ่งเราคงกินแบบนี้ไม่ได้ทุกวัน นอกจากนั้น ในอกไก่ ยังมีสารเคมีที่ใช้ฉีดในสัตว์ หรือโปรตีนจากเนื้อหมู ที่มีไขมันติดมาได้

เพื่อความสะดวกในการได้รับสารอาหารที่ถึงและแคลลอรี่ที่ต่ำ อาหารเสริมจึงเข้ามามีบทบาทในการเสริมส่วนที่ขาด และตัดส่วนที่เกิน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องเลือกดีๆ แบรนที่มีความน่าเชื่อถือและปลอดภัย ไม่ใช่จะกินอะไรก็ได้

อ่านบทความเพื่อเช็ค อาหารกับโรคมะเร็ง

อยากมีอิสระทางการเงินเชิญทางนี้

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * 

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * ** * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

โพสท์ใน Default | ใส่ความเห็น

ดื่มนมมีประโยชน์อย่างไร

ดื่มนม ใครๆ ก็รู้ว่าการดื่มนมเป็นประจำนั้นให้ประโยชน์ต่อร่างกายมากมายขนาดไหน หากไม่ได้มีอาการแพ้นมหรือเป็นโรคประจำตัวบางอย่างที่แพทย์สั่งห้ามไม่ให้ดื่มนมแล้วหล่ะก็ ควรจะดื่มนมเพื่อเสริมสร้างความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะน้ำนมมีปริมาณแคลเซียมค่อนข้างสูง ดีต่อกระดูกและฟัน

ดื่มนม ยังมีโปรตีนคุณภาพดีที่ร่างกายต้องการอีกด้วย ทีนี้พอเราพูดกันถึงเรื่องการดื่มนมก็จะมีคำถามตามมาว่า ช่วงเวลาไหนที่ดีที่สุดในการดื่มนม และในแต่ละวันปริมาณที่เหมาะสมคือเท่าไร ครั้งนี้เราจะมาหาคำตอบไปพร้อมๆ กัน  ประโยชน์ที่ได้รับของการดื่มนม  

ก่อนจะไปถึงประเด็นที่ว่าแต่ละคนควรดื่มนมเท่าไรดื่มอย่างไร เรามาดูในส่วนของประโยชน์ที่จะได้รับกันก่อน ส่วนหนึ่งก็เพื่อจะได้รู้ว่านมจะตอบโจทย์ความต้องการของเราได้มากน้อยแค่ไหน จะได้กำหนดปริมาณการดื่มได้อย่างสอดคล้องต่อไป  – 

ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายได้ดี เป็นประโยชน์อย่างมากในวัยผู้ใหญ่ที่ร่างกายมีอัตราการสร้างฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ฟื้นฟูร่างกายลดน้อยลง  มีไขมันดีที่ช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย และไม่เกิดการสะสมจนกลายเป็นต้นเหตุของอาการป่วยต่าง  ในนมมีแคลเซียมสูง นอกจากช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกแล้ว ก็ยังมีคุณสมบัติช่วยลดความดันโลหิต ลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งสำไส้ และช่วยให้เลือดแข็งตัวได้ดีเวลาเกิดบาดแผลอีกด้วย 

มีวิตามินหลายตัวที่ช่วยบำรุงเม็ดเลือดให้สมบูรณ์   ช่วยกระตุ้นให้ระบบประสาทโดยรวมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตอบสนองได้รวดเร็ว  หากเป็นการดื่มนมในวัยเด็ก จะช่วยเพิ่มความหนาของมวลกระดูกได้  นี่เป็นคุณประโยชน์เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่เราจะได้รับจากการดื่มนม ยังมีอีกหลายส่วนที่เราไม่ได้พูดถึงกัน อย่างเช่น

งานวิจัยที่บอกว่านมช่วยลดน้ำหนักได้ และยังช่วยเรื่องความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อได้ด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อมีประโยชน์ก็มีโทษด้วยเหมือนกัน สำหรับคนที่แพ้ส่วนมากเป็นเพราะไม่มีน้ำย่อย จึงทำให้มีความผิดปกติเกิดขึ้นเริ่มตั้งแต่ท้องอืด ท้องเสีย คลื่นไส้อาเจียน เวียนศีรษะ ความรุนแรงก็แล้วแต่บุคคล

อ่านบทความเพื่อเช็ค อาหารกับโรคมะเร็ง

สล็อตโจ๊กเกอร์168

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * 

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * ** * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

โพสท์ใน Default | ใส่ความเห็น

ขับถ่ายยากเชิญทางนี้

ขับถ่ายยาก ท้องผูก ขับถ่ายยาก อย่ามองเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป เพราะปัญหาช่องท้องอาจลุกลามบานปลายไปสู่โรคเรื้อรังอื่นๆ ได้ในอนาคต อีกทั้งความยากง่ายในการขับถ่ายของแต่ละคน ยังส่งผลให้สับสนได้ว่าแบบไหนถึงเรียกได้ว่า “ขับถ่ายผิดปกติ” ลองเช็กลิสต์สัญญาณเสี่ยงอาการท้องผูก

ขับถ่ายยาก และตอบคำถามขับถ่ายยาก กินอะไรดี ? พร้อมแนะนำวิธีคลายเชือกที่ผูกท้อง…จนท้องผูกเพราะไลฟ์สไตล์(ง่ายๆ) ไปด้วยกัน!

อาการแบบไหนเรียกว่าท้องผูก ขับถ่ายยาก แม้เราจะได้ยินกันอยู่บ่อยๆ ว่าควรขับถ่ายให้ได้อย่างน้อยวันละครั้ง แต่แท้จริงแล้วระบบขับถ่ายและการทำงานของลำไส้คนเรายังมีความแตกต่างกัน การขับถ่าย 2-3 วันต่อครั้ง จึงยังคงเป็นช่วงเวลาขับถ่ายในเกณฑ์ปกติ ดังนั้น เมื่อพูดถึงการขับถ่ายที่มีปัญหาจึงควรตั้งข้อสังเกตว่าลักษณะการเข้าห้องน้ำของเราเปลี่ยนไปจากเดิมหรือไม่ เช่น  ความยากง่ายในการขับถ่ายแต่ละครั้ง ลักษณะการขับถ่ายที่เป็นปกติ (อุจจาระนิ่ม ไม่แข็ง) รู้สึกสบาย โล่งท้องหลังการขับถ่าย ไม่รู้สึกลำบาก หรือเจ็บขณะขับถ่าย

ซึ่งเราสามารถพบอาการเหล่านี้ได้ในช่วงใดช่วงหนึ่งเป็นปกติ แต่หากพบอาการเพียงข้อใดข้อหนึ่งแบบเรื้อรัง เป็นๆ หายๆ  ขับถ่ายยาก ถ่ายไม่สุด รู้สึกเหมือนมีอะไรอุดกั้น ลักษณะอุจจาระแข็งและเป็นเม็ด โดยไม่มีทีท่าว่าจะหายขาดหรือกลับมาขับถ่ายได้เป็นปกติแบบแต่ก่อน ให้สงสัยได้ว่าการขับถ่ายกำลังมีปัญหา ซึ่งอาจเป็นผลมาจากระบบทางเดินอาหารส่วนปลาย และอาจทำให้เกิดภาวะลำไส้แปรปรวน (IBS) และภาวะลำไส้อุดตันตามมาได้ ก่อนจะไปถึงวิธีแก้ ท้องผูก ถ่ายยาก จึงควรทราบสาเหตุและที่มา เพื่อหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นปัญหาท้องผูก ขับถ่ายยากให้น้อยลง

ขับถ่ายยาก กินอะไรดี หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าภายในระบบลำไส้เรานั้น ยังมากไปด้วยระบบประสาทที่ซับซ้อนรองจากสมอง พร้อมทำหน้าที่ตัดสินใจและโต้ตอบต่อสิ่งเร้าภายนอกได้โดยไม่ต้องรอให้สมองคอยสั่งการเหมือนอวัยวะอื่นๆ เราจึงเห็นว่าทันทีที่รับประทานอาหารที่มีรสชาติจัดจ้าน เผ็ดร้อน หรือของแสลงเข้าไป อาการปั่นป่วนใดๆ ก็มักเกิดขึ้นได้แทบจะในฉับพลันทันที ถ่ายยากทำไงดี ? จึงต้องเริ่มที่การปรับไลฟ์สไตล์ให้เอื้อต่อการทำงานของระบบลำไส้และการขับถ่ายได้ง่ายขึ้น ดังนี้  

ฝึกร่างกายให้เข้าห้องน้ำเป็นเวลา และหากรู้สึกปวดท้องก็ควรขับถ่ายทันที รับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหาร (Fiber) ซึ่งพบได้ในผัก ผลไม้ รวมถึงธัญพืชชนิดต่างๆ ดื่มน้ำสะอาดวันละ 2 ลิตร เพื่อกระตุ้นระบบขับถ่ายและช่วยลดปัญหาการขับถ่ายยาก หลีกเลี่ยงการใช้ยาช่วยระบาย แต่ให้ฟื้นฟูร่างกายด้วยอาหารช่วยดีท็อกซ์ ซึ่งนอกจากการรับประทานผัก และผลไม้ที่อุดมไปด้วยเส้นใยอาหารช่วยกระตุ้นการขับถ่ายให้ง่ายขึ้นแล้ว อีกหนึ่งวิธีคือการรับประทานสมุนไพรจำพวกขมิ้นและกระเทียม ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยขับลมและระบายท้อง ทั้งยังมีสรรพคุณช่วยย่อยอาหารได้เป็นอย่างดี

รวมถึงการฝึกบริหารอุ้งเชิงกราน ยังเป็นหนึ่งในคำตอบของคำถามถ่ายยากทำไงดีได้อีกด้วย เพราะเป็นท่าบริหารที่ช่วยให้การขับถ่ายเป็นไปอย่างง่ายดายนั่นเอง การหาวิธีแก้ท้องผูก ขับถ่ายยาก แต่เนิ่นๆ จึงดีกว่าการละเลยปล่อยปัญหาเรื้อรังไว้นาน ซึ่งอาจนำมาซึ่งภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ อย่างคาดไม่ถึง เช่น เลือดออกทางทวารหนัก ริดสีดวงทวาร ไส้เลื่อน หรือร้ายแรงกว่านั้นอาจนำไปสู่โรคอันตรายอื่นๆ อย่างมะเร็งลำไส้  เมื่อความเจ็บป่วยและโรคร้ายยังเป็นสิ่งที่ใกล้แสนใกล้ในชีวิตเราทุกคน

การใส่ใจดูแลสุขภาพให้ดีในทุกๆ วัน จึงเป็นสิ่งที่ต้องทำและไม่ควรละเลยอย่างยิ่ง เพื่อสร้างความมั่นใจและอุ่นใจในทุกๆ สถานการณ์รายวันที่ยังคงคาดเดาได้ยาก การทำแผนประกันสุขภาพออนไลน์ซิกน่า ประกันสุขภาพและอุบัติเหตุที่ครอบคลุมไปถึงกลุ่มโรคร้ายแรง ด้วยแผนประกันชดเชยรายได้และค่ารักษาพยาบาล เพื่อให้คุณได้ใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพในทุกๆ วัน

อ่านบทความเพื่อเช็ค อาหารกับโรคมะเร็ง

อยากมีอิสระทางการเงินเชิญทางนี้

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * 

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * ** * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

โพสท์ใน Default | ใส่ความเห็น

การลดน้ำหนักโดยใช้วิธี “นับแคลอรี่”

การลดน้ำหนัก นั้นมีวิธีการต่างๆมากมาย และบางคนก็มีวิธีที่เฉพาะตัว บางคนก็ออกกำลังกายเป็นบ้าเป็นหลัง บางคนก็อดอาหารแบบไม่คิดชีวิต บางคนก็ใส่เต็มมันทั้งออกกำลังกายและอดอาหาร ซึ่งการลดน้ำหนักอีกวิธีหนึ่งที่ได้ผลมานักต่อนักแล้วนั่นก็คือการลดน้ำหนักโดยใช้วิธี “นับแคลอรี่”นั่นเอง  อาหารหรือเครื่องดื่มทุกชนิดนั้นล้วนมีแคลอรี่อยู่ในตัว ซึ่งต่างชนิดก็ต่างปริมาณกันไปอยู่ที่คุณจะเลือกมากิน 

การลดน้ำหนัก ด้วยวิธีนับแคลอรี่นั้นก็จะใช้ตัวเลขเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์นั่นเอง โดยปกติแล้วคนเรานั้นต้องการวันละไม่เกิน 2,000 แคลอรี่เป็นอย่างต่ำ แต่นั่นคือการรักษาน้ำหนักให้ไม่อ้วนไปกว่าเดิม มันจึงไม่ใช่ตัวเลขที่คนลดน้ำหนักนั้นต้องการ ตัวเลขจริงๆนั้นคุณอาจจะคำนวณได้จาก คำนวณแคลอรี่

หรือคุณอาจจะตั้งเป้าไว้เองก็ได้ว่าต้องการจะลดแคลอรี่ต่อวันไปเหลือเท่าไร ยิ่งแคลอรี่น้อยเท่าไรยิ่งส่งผลต่อน้ำหนักที่ลดลงไปเท่านั้น  หลายๆคนอาจจะมาติดแหงกอยู่ที่ข้อนี้ นั่นคือการนับแคลอรี่ของอาหารที่กินไปนั่นเอง การจะนับแคลอรี่นั้นคุณต้องจริงตังกับมันพอสมควร

เพราะมันหมายถึงปริมาณน้ำหนักที่ลดและเวลาที่เสียไป ซึ่งหากคุณกำลังจะเริ่มนับแคลอรี่แล้วแต่ยังไม่รู้ว่าอาหารต่างๆนี่มันมีแคลอรี่เท่าไรกัน ก็ลองเข้าไปที่เว็บเหล่านี้แล้วพิมพ์อาหารที่ต้องการรู้แคลอรี่ลงไป รับรองว่ามีหมดแน่ บางเว็บก็บอกถึงสารอาหารอื่นๆอีกด้วยนะ

แต่แค่ต้องพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษแล้วก็อาหารที่พิมพ์ไปต้องอยู่ในรูปของวัตถุดิบไม่ใช่เป็นชื่ออาหารก็พอ อย่างเช่น broccoli(บร็อคโคลี), apple(แอปเปิ้ล), onion(หัวหอม) เป็นต้น จริงๆแล้วบางเว็บสามารถใส่เป็นชื่ออาหารได้เลย แต่ติดอยู่ที่ว่ามันไม่มีพวกกระเพราหมู ข้าวหมูทอด ผัดซีอิ๊ว อะไรพวกนี้เพราะมันเป็นเว็บไซต์ของฝรั่งนั่นเอง เอาล่ะๆอย่าไปเสียดายเลย มาดูรายชื่อเว็บไซต์กันดีกว่า

อ่านบทความเพื่อเช็ค อาหารกับโรคมะเร็ง

อยากมีอิสระทางการเงินเชิญทางนี้

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * 

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * ** * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

โพสท์ใน Default | ใส่ความเห็น

คาร์โบไฮเดรตประโยชน์ต่อร่างการ

คาร์โบไฮเดรต ประโยชน์ต่อร่างการ น้ำตาลเป็นสิ่งที่ใครหลายๆ คน หลีกเลี่ยงที่จะทาน โดยเฉพาะสายสุขภาพ หรือพวกที่กำลังลดน้ำหนัก แต่รู้หรือไม่ว่าแท้จริงแล้ว น้ำตาลก็คือ คาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate) นั้นเอง ซึ่งเป็นหนึ่งในสารอาหารหลัก 5 หมู่ที่ร่างกายต้องการ ไม่สามารถขาดได้

คาร์โบไฮเดรต ประโยชน์ต่อร่างการคนที่กำลังลดน้ำหนักแค่ได้ยินว่ามี “น้ำตาล” ต่างก็พยายามหลีกเลี่ยง คาร์โบไฮเดรต กันแล้ว โดยที่ยังไม่รู้ว่า ประโยชน์ คาร์โบไฮเดรตมีอะไรบ้าง และ คาร์โบไฮเดรต นั้น จริงๆ ก็มีแบ่งแยกเป็นอีก 2 ชนิด ชนิดดี และไม่ดี

ประโยชน์ ของคาร์โบไฮเดรตมีอะไรบ้าง ให้พลังงาน เป็นหนึ่งในสารอาหารที่ร่างกายขาดไม่ได้ เพราะร่างกายเมื่อต้องทำกิจกรรมอะไรก็ตาม ล้วนแล้วแต่ต้องใช้พลังงาน ทำให้ร่างกายมีเรี่ยวมีแรง ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้ปกติ และยังช่วยให้ความอบอุ่นกับร่างกายอีกด้วย

ช่วยฟื้นตัวจากการป่วยได้ดี เช่นผู้ป่วยที่นอนรักษาตัวในโรงพยาบาล ก็จะมีพยาบาลให้น้ำเกลือ โดยในน้ำเกลือนั้นก็จะมีส่วนผสมของน้ำตาล ซึ่งส่วนใหญ่จะมีส่วนประของคาร์โบฯอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้ป่วยมีเรี่ยว มีแรง ฟื้นตัวได้ดี ช่วยเผาผลาญ การรับประทาน

คาร์โบไฮเดรตชนิดดีเข้าไปจะไปช่วยให้ เมตาบอลิซึมในร่างกาย ทำงานเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้ไขมันส่วนเกินถูกขับออกมาได้อย่างง่ายดาย ช่วยให้โปรตีนถูกนำไปใช้ประโยชน์ได้สูงสุด ประโยชน์ของคาร์โบไฮเดรตคือช่วยเหนี่ยวรั้งโปรตีน ไม่ให้ถูกเผาผลาญเป็นพลังงาน

ซึ่งจะทำให้โปรตีนถูกนำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื่องจากโปรตีนมีส่วนช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และสร้างภูมิต้านทานเชื้อโรค• ได้รับสารอาหารดีๆ เนื่องจากอาหารที่ให้คาร์โบไฮเดรตดีนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุที่มีประโยชน์มากมาย

ดังนั้นหากทานอาหารที่ให้ คาร์โบไฮเดรตดี ก็จะได้สารอาหารอื่นๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายไปอีกด้วยเช่น วิตามินจากธรรมชาติ, เกลือแร่, เอนไซม์ ,ไฟเบอร์

อ่านบทความเพื่อเช็ค อาหารกับโรคมะเร็ง

ความรวยไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * 

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * ** * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

โพสท์ใน Default | ใส่ความเห็น